ความท้าทายของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของ EU
โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทยที่มีความซับซ้อน ทำให้การตรวจสอบย้อนกลับและการปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ของสหภาพยุโรปเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น
การตรวจสอบย้อนกลับเป็นหนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของ EUDR ซึ่งกำหนดให้สินค้าต้องสามารถระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้มาจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า องค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (RSPO) เปิดเผยกับ Food Navigator ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีความก้าวหน้าอย่างมากในการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันไทยที่ประกอบด้วยผู้ผลิตรายย่อยจำนวนมาก ส่งผลให้การตรวจสอบย้อนกลับและการปฏิบัติตามข้อกำหนดยากกว่าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อื่น ๆ
เกษตรกรรายย่อยถือครองตลาดเป็นส่วนใหญ่
ในประเทศไทย เกษตรกรรายย่อยเป็นผู้ปลูกปาล์มน้ำมันถึง 85% ตามข้อมูลของ RSPO ซึ่งที่ดินเพาะปลูกในประเทศถูกจัดสรรให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมากกว่าบริษัทรายใหญ่
เนื่องจากนโยบายการค้าเสรีของรัฐบาลไทย ตามที่นายตริน พงษ์เภตรา ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัททักษิณ ปาล์ม และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีกล่าว โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเปิดดำเนินการได้ง่าย ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างโรงงานสูง โดยเกษตรกรรายย่อยมีอิสระในการขายผลผลิตให้กับโรงงานใดก็ได้ที่ตนต้องการ
หลังจากการดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวนี้ ในที่สุดก็นำไปสู่ระบบที่เกษตรกรรายย่อยว่าจ้างผู้เก็บเกี่ยวผลผลิต รวมไปถึงผู้เก็บรวบรวมผลปาล์มเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับระบบนี้ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มจำนวนมากไม่ได้ทำการเพาะปลูกบนพื้นที่เพาะปลูกปาล์ม
เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันที่ยาวนาน ผลปาล์มจึงมีความสดน้อยลงและอัตราการสกัดน้ำมันต่ำลงตาม อัตราการสกัดในอินโดนีเซียและมาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 21-23% ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 18-19% เท่านั้น ข้อมูลจากนายตริน พงษ์เภตรา
การปลูกพืชแซม: แนวทางสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร
น้ำมันปาล์มคล้ายกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่มักได้รับผลกระทบจากราคาโลกที่ผันผวน เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการรักษารายได้ของเกษตรกรรายย่อย สภาพอากาศที่แปรปรวนและไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ปัญหานี้รุนแรงยิ่งขึ้น การปลูกพืชแซมนับเป็นทางเลือกสำรองและเป็นตัวช่วยในกรณีที่เกิดปัญหา
เกษตรกรในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเปิดเผยกับ Food Navigator ว่าการใช้เทคนิคการปลูกพืชแซมในพื้นที่เพาะปลูก พบว่าเกษตรกรปลูกใบเตยที่เป็นพืชเขตร้อนที่นิยมใช้วัตถุประกอบขนมหวานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งใบเตยไม่ถูกแมลงกินและยังไล่แมลงได้อีกด้วย ทำให้เป็นแหล่งรายได้สำรองที่มั่นคงสำหรับเกษตรกร อีกทั้งใบเตยยังเจริญเติบโตได้ในที่ร่ม หมายความว่าสามารถปลูกใต้ต้นปาล์มได้
ใบเตยเป็นที่ต้องการภายในประเทศและไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก
การปรับตัวของไทยต่อกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR)
น้ำมันปาล์มจากประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพียงเล็กน้อย และน้ำมันปาล์มที่ส่งออกไปส่วนใหญ่มักอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหาร อย่างไรก็ตาม น้ำมันปาล์มที่ส่งออกจากไทยมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของ EUDR เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยมีความซับซ้อนมากกว่า
นั่นเป็นเพราะว่าการเก็บข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้เก็บเกี่ยวและผู้รวบรวมผลปาล์มไม่ได้ทำการเก็บเกี่ยวอยู่กับที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของปาล์มที่ขายให้กับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มได้ว่ามาจากพื้นที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่าหรือไม่
หนึ่งในข้อเสนอจากนายตริน เสนอว่า เพื่อช่วยให้ไทยปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวได้ คือ การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลสำหรับเก็บข้อมูลแหล่งที่มาของผลปาล์มในระดับฟาร์ม เช่น ระบบติดตามตำแหน่งที่สามารถบันทึกการเก็บเกี่ยวของผู้รับจ้าง เพื่อยืนยันว่าผลผลิตมาจากพื้นที่ที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถช่วยให้ไทยก้าวข้ามความท้าทายและรักษาตลาดส่งออกในระยะยาวได้