Cover Story

แนวทางฟื้นอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไนจีเรีย! 4 กลยุทธ์สำคัญจากประเทศผู้นำตลาดโลก

ไนจีเรียมีพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่เทคโนโลยีด้านการผลิตน้ำมันปาล์มยังคงตามหลังประเทศอื่น

จากรายงานของ Vestance ในหัวข้อ ยุคแห่งการฟื้นฟูและการกลับมาของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไนจีเรีย’’ ระบุว่าไนจีเรียเคยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2493-2503 ในรัฐต่าง ๆ เช่น รัฐคาลาบาร์และรัฐริเวอร์สที่เป็นผู้ผลิตหลักในช่วงนั้น

ในขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียได้พัฒนาวิธีการเพาะปลูกจนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในปัจจุบัน แต่ไนจีเรียกลับมีอันดับลดลง

รายงานระบุว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไนจีเรียอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเปราะบางต่อปัจจัยภายนอกสูง รวมถึงแนวโน้มด้านความยั่งยืนที่อาจเป็นอุปสรรคต่อแผนการขยายตัวและการผลิตที่เพิ่มขึ้น”

“ไนจีเรียสามารถวางตัวเป็นผู้เล่นและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยอาศัยโอกาสใหม่ ๆ เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของคู่แข่งที่อาจชะลอตัวลง การแก้ไขปัญหาด้านความยั่งยืนและการให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่า”

รายงานจาก BusinessDay ได้ระบุ 4 สิ่งสำคัญที่ไนจีเรียสามารถนำไปต่อยอดจากเรื่องราวความสำเร็จของมาเลเซียและอินโดนีเซียที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มชั้นนำ

การจัดการสวนปาล์มโดยภาครัฐ

รายงานของ Vestance ระบุว่ารัฐบาลของอินโดนีเซียและมาเลเซียมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศด้วยการจัดการสวนปาล์มขนาดใหญ่

องค์กรกลางที่ขับเคลื่อนความพยายามเหล่านี้ ได้แก่ บริษัทสวนปาล์มน้ำมันของรัฐ (Perusahaan N’égara Perkebunan หรือ PNP) ในอินโดนีเซียและองค์กรพัฒนาที่ดินแห่งรัฐ (Federal Land Development Authority หรือ FELDA) ในมาเลเซีย

“องค์กรเหล่านี้จัดหาที่ดิน เงินทุน และการฝึกอบรมให้กับเกษตรกรรายย่อย โดยจัดพวกเขาให้อยู่รอบ ๆ พื้นที่ขนาดใหญ่ที่บริหารจัดการโดยองค์กรกลาง”

จุดประสงค์คือการผสานร่วมกับฟาร์มพลาสมาของเกษตรกรรายย่อยเข้ากับสวนขนาดใหญ่ ทำให้เกิด “เศรษฐกิจขนาดใหญ่” ที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากร และทำให้มั่นใจว่าผลผลิตสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับไนจีเรียที่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกา หากต้องการประสบความสำเร็จในลักษณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการจัดตั้งกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือในกลุ่มเกษตรกร

นโยบายการค้าและการปฏิรูปตลาด

การเติบโตของการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศชั้นนำเชื่อมโยงกับนโยบายการค้าที่มีประสิทธิผลและการปฏิรูปที่ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนา

รายงานของ Vestance ระบุว่ามีสิ่งจูงใจทางภาษีจำนวนมาก เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร การลดอัตราภาษีผลกำไรจากน้ำมันปาล์ม และเงินอุดหนุนปุ๋ยและยาฆ่าแมลง รวมถึงการปลดล็อกกฎระเบียบเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินในอินโดนีเซีย ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้เป็นอย่างมาก

นโยบายเหล่านี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2513 ถึงต้นปี พ.ศ. 2523 ได้ดึงดูดเงินทุนจำนวนมากจากธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมากและพื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไนจีเรียควรนำแนวทางนี้มาปรับใช้เพื่อพัฒนาภาคการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศ

การวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อเพิ่มผลผลิต

ผลการวิจัยจาก BusinessDay แสดงให้เห็นว่าไนจีเรียทุ่มเงินกว่า 266 พันล้านไนราให้กับสถาบันวิจัยด้านการเกษตรในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ผลผลิตของเกษตรกรยังคงต่ำ เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

รายงานของ Vestance ได้ยกตัวอย่างประเทศกัวเตมาลาที่ใช้พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัย พร้อมทั้งกระบวนการคัดเลือกกล้าไม้คุณภาพเพื่อให้มั่นใจในผลผลิตที่ดีที่สุด

รายงานชี้ให้เห็นว่าการให้ความสำคัญกับคุณภาพของกล้าไม้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลผลิตและความยั่งยืนของสวนปาล์มน้ำมัน

การจัดตั้งหน่วยงานพัฒนาน้ำมันปาล์มแห่งชาติ

นอกจากนี้ รายงานของ Vestance ยังระบุว่า การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อกำกับดูแลและควบคุมอุตสาหกรรมสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การลักลอบนำเข้า การปลอมแปลง และการควบคุมคุณภาพ โดยมีจุดเน้นว่า “หน่วยงานนี้ยังสามารถส่งเสริมแนวการปฏิบัติที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย”