Cover Story

ยุคน้ำมันปาล์มราคาถูกกำลังจะสิ้นสุด? ผลผลิตชะลอตัวท่ามกลางความต้องการไบโอดีเซลพุ่งสูง

ราคาน้ำมันปรุงอาหารส่อเค้าทรงตัวสูงต่อเนื่องหลายปี สาเหตุจากการที่ผลผลิตชะลอตัว ควบคู่นโยบายผลักดันไบโอดีเซลในอินโดนีเซีย ผู้ผลิตรายใหญ่ ดันราคาน้ำมันปาล์มที่เคยถูกให้แพงขึ้น ตัดข้อได้เปรียบที่เคยตรึงราคาน้ำมันคู่แข่ง

น้ำมันปาล์มแทรกซึมทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่เค้ก ไขมันสำหรับทอด ไปจนถึงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ครองสัดส่วนกว่าครึ่งของการขนส่งน้ำมันพืชทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้บริโภคตลาดเกิดใหม่ โดยมีอินเดียเป็นผู้นำ

หลังทศวรรษน้ำมันปาล์มราคาถูก จากอานิสงส์ผลผลิตเฟื่องฟูและการแข่งขันชิงส่วนแบ่งตลาด ปัจจุบันผลผลิตเริ่มชะลอตัว ขณะที่อินโดนีเซียหันไปใช้น้ำมันปาล์มมากขึ้นเพื่อผลิตไบโอดีเซล นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับ Dorab Mistry กล่าว

“ยุคตันละ 400 ดอลลาร์ได้จบลงแล้ว” Mistry ผู้อำนวยการบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคของอินเดีย Godrej International กล่าวเสริม “ตราบใดที่อินโดนีเซียยังคงให้ความสำคัญกับไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มจะไม่มีราคาถูกเช่นนั้นอีกต่อไป”

น้ำมันปาล์ม ซึ่งโดยปกติจะมีราคาถูกกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น เริ่มมีการซื้อขายในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตลดลงและความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพเพิ่มสูงขึ้น

อินโดนีเซียยกระดับสัดส่วนบังคับผสมน้ำมันปาล์มในไบโอดีเซลเป็น 40% ในปีนี้ และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเป็น 50% ในปี 2569 ควบคู่ไปกับการทดลองผสม 3% ในน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในปีหน้า หวังลดการนำเข้าน้ำมัน

แรงผลักดันไบโอดีเซลคาดการณ์ว่าจะฉุดการส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียเหลือเพียง 20 ล้านตันในปี 2573 ลดลงหนึ่งในสามจาก 29.5 ล้านตันในปี 2567 ซึ่งเป็นประมาณการของ Eddy Martono ประธานสมาคมน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (GAPKI)

มาตรการไบโอดีเซลของจาการ์ตา ประกอบกับผลผลิตที่ลดลงจากอุทกภัยในมาเลเซียเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวสูงขึ้นแซงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองคู่แข่งแล้ว กระตุ้นให้ผู้ซื้อลดปริมาณการสั่งซื้อ

ในอินเดีย ผู้ซื้อน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุด น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีราคาสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองดิบมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา โดยบางครั้งส่วนต่างราคาสูงเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เมื่อไม่นานมานี้ในช่วงปลายปี 2565 น้ำมันปาล์มเคยซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าถึงกว่า 400 ดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชาวอินเดียจ่ายเงินถึง 1,185 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันสำหรับน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากราคาต่ำกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 ราคาน้ำมันพืชที่สูงขึ้นอาจซ้ำเติมความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่พึ่งพาน้ำมันปาล์ม หรือประเทศที่ต้องพึ่งพาน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันเรพซีด

การเติบโตที่ชะงัก

การผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นผู้ผลิตหลัก ขยายตัวเกือบสองเท่าในทุกทศวรรษตั้งแต่ปี 2523 ถึง 2563 จุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก

ในช่วงเวลาดังกล่าว การเติบโตของผลผลิตเฉลี่ยต่อปีที่มากกว่า 7% นั้น สอดคล้องกับความต้องการโดยประมาณ

แต่การผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียกลับหยุดชะงักมานานกว่าทศวรรษแล้ว เนื่องจากขาดแคลนพื้นที่สำหรับปลูกใหม่และการปลูกทดแทนที่ล่าช้า ขณะที่ความกังวลเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าได้ชะลอการเติบโตในอินโดนีเซีย

แม้ในอินโดนีเซีย การปลูกทดแทนโดยเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตถึง 40% ยังคงซบเซา ส่งผลให้การเติบโตของผลผลิตทั่วโลกลดลงเหลือเพียง 1% ต่อปีในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา

ในทศวรรษปัจจุบัน คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลผลิตจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3 ล้านตันต่อปี นักวิเคราะห์ Thomas Mielke ผู้อำนวยการบริหารของ Oil World บริษัทด้านการพยากรณ์ตลาดน้ำมันพืชจากฮัมบูร์ก กล่าว ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.9 ล้านตันในช่วงทศวรรษจนถึงปี 2563 เกือบครึ่งหนึ่ง

มีลเคอกล่าวว่า การผลิตอาจสูญเสียแรงขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้นจากผลกระทบของการขาดแคลนแรงงาน สวนปาล์มที่มีอายุมากขึ้น และการแพร่ระบาดของเชื้อรากาโนเดอร์มา ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อผลผลิต

การปลูกทดแทนที่ล่าช้า

ต้นปาล์มน้ำมัน ซึ่งเริ่มให้ผลผลิตลดลงหลัง 20 ปี จำเป็นต้องถูกแทนที่หลัง 25 ปี โดยต้นใหม่ใช้เวลาสามถึงสี่ปีจึงจะเริ่มให้ผลผลิต ทำให้ที่ดินไม่สามารถสร้างรายได้ในช่วงนั้น และเป็นเหตุให้เกษตรกรลังเลที่จะปลูกทดแทน

ในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสวนอุตสาหกรรม Johari Abdul Ghani กล่าวว่า มาเลเซียปลูกทดแทนพื้นที่ 114,000 เฮกตาร์ (282,000 เอเคอร์) หรือเพียง 2% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมดในปี 2567 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4% ถึง 5%

ในอินโดนีเซีย การปลูกทดแทนที่ล่าช้าส่งผลให้ผลผลิตลดลง ท่ามกลางอายุของสวนปาล์มที่มากขึ้น เจ้าหน้าที่ GAPKI (Fadhil Hasan)กล่าว ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบลดลง 11.4% เหลือ 3.42 ตันต่อเฮกตาร์ในรอบทศวรรษ

แม้ว่าหลายประเทศตั้งแต่โคลอมเบียและเอกวาดอร์ ไปจนถึงไอวอรีโคสต์และไนจีเรีย จะเพิ่มการผลิตน้ำมันปาล์ม แต่เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมกล่าวว่า การเติบโตของผู้เล่นรายใหม่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการไบโอดีเซล

ทั้ง Mistry และ Mielke เรียกร้องให้อินโดนีเซียกลับมาอนุมัติใบอนุญาตใหม่สำหรับสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ระงับไปตั้งแต่ปี 2561

Mistry กล่าวว่า “หากอินโดนีเซียยังคงระงับการอนุมัติการปลูกใหม่ จะเกิดภาวะขาดแคลนเป็นระยะ และช่วงเวลาราคาน้ำมันปาล์มที่สูงมาก”

เขากล่าวเสริมว่า การผลิตที่ถูกจำกัดอันเป็นผลมาจากนโยบายดังกล่าว จะส่งผลให้ผู้บริโภค 3 ถึง 4 พันล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

ความต้องการในตลาดสำคัญเริ่มชะลอตัวลงแล้ว อันเป็นผลมาจากราคาที่สูงขึ้น และแม้แต่ผู้ซื้อในภาคอุตสาหกรรมก็กำลังมองหาทางเลือกอื่น SD Guthrie International (SDGU.KL) กล่าว

Shariman Alwani Mohamed Nordin ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SD Guthrie International กล่าวในการประชุมอุตสาหกรรมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อย่างไรก็ตามการบริโภคน้ำมันปาล์มจะยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และเชื้อเพลิงชีวภาพ

“เราเห็นความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นอย่างมาก และด้วยข้อจำกัดด้านที่ดิน เราจึงรู้สึกว่าจะเกิดภาวะไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน” Harish Harlani รองประธาน P&G Chemicals กล่าว

ราคาน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันคู่แข่งปรับตัวสูงขึ้นตาม เนื่องจากความต้องการหันไปหาน้ำมันชนิดอื่น Sanjeev Asthana ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Patanjali Foods Ltd (PAFO.NS) บริษัทอาหารของอินเดีย กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า “เมื่อผู้ซื้อหันไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวัน ราคาน้ำมันเหล่านั้นก็จะพุ่งสูงขึ้นตาม ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันเหล่านั้นมีปริมาณจำกัด จึงไม่สามารถเข้ามาแทนที่น้ำมันปาล์มได้อย่างสมบูรณ์”