อินโดนีเซียเตรียมบังคับใช้โครงการไบโอดีเซล B40 เต็มรูปแบบในปี 2568
เดินหน้าสู่การใช้น้ำมันปาล์ม 40% ในดีเซล พร้อมแผนเพิ่มสัดส่วนเป็น B50 ภายในปี 2569 รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบายไบโอดีเซล B40 ออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากเดิมที่กำหนดเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อให้ภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัวอีก 1.5 เดือน นโยบายนี้กำหนดให้ผสมน้ำมันปาล์ม 40% กับน้ำมันดีเซล 60% ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการลดการนำเข้าน้ำมันดีเซล ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนเพิ่มสัดส่วนเป็น B50 ในปี 2569
ทยอยเปิดตัวไบโอดีเซล B40 เป็นระยะ
กระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ (ESDM) ของอินโดนีเซีย นำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ นาย Yuliot Tanjung ยืนยันว่า นโยบายบังคับใช้ไบโอดีเซล B40 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำหนดช่วงปรับตัว 6 สัปดาห์แรก เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถระบายสต๊อกไบโอดีเซล B35 ที่เหลืออยู่ พร้อมปรับปรุงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
บริษัทน้ำมันแห่งชาติ Pertamina ได้เตรียมโรงกลั่นสองแห่งเพื่อรองรับการผลิต B40 และเมื่อวันที่ 6 มกราคม ได้ประกาศราคาจำหน่ายไบโอดีเซลสำหรับ 5 ท่าเรือหลัก ได้แก่ จาการ์ตา เบโนอา สุราบายา บาลิกปาปัน และบาตัม โดยมีช่วงราคาต่อตันอยู่ที่ 910 – 1,103 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม
ลดการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อผลักดันไบโอดีเซล
ESDM คาดการณ์ว่าในปี 2568 อินโดนีเซียจะผลิตไบโอดีเซลได้ 15.6 ล้านกิโลลิตร เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า การเพิ่มปริมาณการผลิตและอัตราส่วนการผสมที่สูงขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกน้ำมันปาล์ม และสร้างแรงกดดันต่อภาระงบประมาณด้านเงินอุดหนุนของรัฐบาล
เนื่องจากต้นทุนของน้ำมันปาล์มสูงกว่าน้ำมันดิบถึง 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน กองทุนจัดการสวนปาล์มน้ำมันอินโดนีเซีย (BPDPKS) คาดการณ์ว่างบประมาณเงินอุดหนุนจะเพิ่มขึ้นถึง 68% ซึ่งปัจจุบันได้รับการสนับสนุนจากภาษีส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจปรับเพิ่มภาษีส่งออกเพื่อรักษาสมดุลทางการเงิน
ในฐานะประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก อินโดนีเซียกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาไบโอดีเซล แม้ต้องลดการส่งออกลงก็ตาม โดยตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฯ นาย Bahlil Lahadalia ยืนยันว่า ภายในปี 2026 ส่วนผสมไบโอดีเซลจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และนำประเทศไปสู่ความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว